ถึงแม้ว่าระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในทุกวันนี้จะพัฒนาและปรับปรุงการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ให้มากขึ้น แต่ในมุมของนักพัฒนาแอปก็ยังต้องหาวิธีป้องกันจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันผู้ใช้ที่ถูกล่อลวงและทำให้เครื่องอยู่ภายใต้การควบคุมจากมิจฉาชีพหรือจะเป็นผู้ใช้ที่ต้องการเข้าถึงช่องโหว่ภายในแอปด้วยตัวเอง

แต่สำหรับแอปที่ต้องการความปลอดภัยสูงอย่างแอปธนาคารหรือเกี่ยวข้องกับการเงินจำเป็นต้องเพิ่มฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเข้ามา เช่น การปิดไม่ให้ใช้งานแอปเมื่อมีการเปิดใช้ USB Debugging หรือ Wireless Debugging เป็นต้น และบางแอปก็ตัดสินใจปิดการทำงานเมื่อมีการเปิดใช้งาน Developer Options ไปเลย แทนที่จะสนใจเฉพาะบางเมนูที่อยู่ในนั้น นั่นจึงส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานบางส่วนที่ต้องการเปิด Developer Options เพื่อตั้งค่าการทำงานบางอย่างที่อยู่ในนั้นเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของตัวเอง

ดังนั้นบทความนี้จะมาเล่าตัวอย่างความสามารถที่อยู่ใน Developer Options และมีโอกาสที่ผู้ใช้จะเปิดใช้งานด้วยเหตุผลบางอย่างแต่ไม่ส่งผลต่อความปลอดภัยสำหรับการใช้งานแอป โดยจะมีดังนี้

  • Animation
  • USB Configuration
  • Animation Scale
  • Bluetooth Audio Connection
  • Split-screen / Floating Window
เมนูที่มีให้ใช้งานใน Developer options บางส่วนจะแตกต่างกันออกไปตามเวอร์ชันของแอนดรอยด์และยี่ห้อของอุปกรณ์แอนดรอยด์ ดังนั้นในการใช้งานจริงของผู้ใช้ก็อาจจะมีนอกเหนือจากที่หยิบมาเล่าในบทความนี้ก็เป็นได้

Stay Awake

โดยปกติแล้วอุปกรณ์แอนดรอยด์จะมีเวลาปิดหน้าจอเมื่อไม่ได้ใช้งานอยู่เสมอ แต่ถ้าผู้ใช้ต้องการให้หน้าจอแสดงอยู่ตลอดเวลาเมื่อเสียบชาร์จ ก็สามารถเปิดใช้งานผ่านเมนู Stay awake ใน Developer options ได้เลย

USB Configuration

สำหรับผู้ใช้ที่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์แอนดรอยด์เข้ากับคอมพิวเตอร์เป็นประจำเพื่อใช้งานบางอย่างร่วมกัน เช่น ใช้งานเป็น Webcam ก็สามารถกำหนดค่าผ่าน Default USB configuration ที่อยู่ใน Developer options เพื่อกำหนดได้ว่าจะให้ทุกครั้งที่เชื่อมต่อเป็นการเชื่อมต่อแบบไหน

Animation Scale

การกำหนด Animation Scale นั้นเป็นสิ่งที่ผู้ใช้บางคนทำกันมาแต่ช้านาน เพราะต้องการให้ Animation หรือ Transition ในเครื่องเร็วกว่าปกติ เช่น การปรับ Animation Scale เป็น 0.5x เพื่อให้ Animation หรือ Transition ต่าง ๆ ภายในเครื่องเร็วขึ้น 2 เท่า

Bluetooth Audio Connection

ผู้ใช้สามารถปรับค่าต่าง ๆ สำหรับคุณภาพเสียงในการเชื่อมต่อหูฟังผ่าน Bluetooth ได้ผ่านเมนูที่อยู่ใน Developer options

ที่พบเจอได้บ่อยก็คือการตั้งค่า Audio Codec สำหรับหูฟังที่รองรับ Audio Codec ได้หลายแบบ หรือตรวจสอบว่า​ ณ​ ตอนนั้นกำลังเชื่อมต่อกับหูฟังด้วย Audio Codec แบบไหนอยู่ โดยไม่ต้องติดตั้งแอปเพิ่ม

Split-screen / Floating Window

สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานแอปต่าง ๆ แบบ Split-screen หรือ Floating Window แต่ประสบปัญหาว่าแอปเหล่านั้นไม่ได้รองรับการใช้งานในรูปแบบดังกล่าว ก็สามารถบังคับให้แอปเปิดใช้งานแบบ Split-screen หรือ Floaring Window ผ่านเมนูใน Developer options ได้เช่นกัน

สรุป

ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่เพียงตัวอย่างของการใช้งาน Developer Options ในแบบฉบับของผู้ใช้แอนดรอยด์ทั่วไป ที่จะเห็นว่าใน Developer Options นั้นมีเมนูบางส่วนที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปอยู่ โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้งแอปเพิ่มแต่อย่างใด

และในมุมของการพัฒนาแอปที่ดีก็แนะนำให้เลือกตรวจสอบเฉพาะการทำงานที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการใช้งานแอปจริง ๆ มากกว่าการตัดสินใจปิดไม่ให้ใช้ Developer Options เพื่อความง่ายและรวดเร็วนะ