การใช้ Dependency ใน Android Studio จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความวุ่นวายของ Library ได้เป็นอย่างมาก เพราะทุกวันนี้ในหลายๆโปรเจคมีการใช้งาน Library ต่างๆกันเยอะพอสมควร ด้วยความสามารถของ Gradle ที่อยู่ใน Android Studio จึงทำให้นักพัฒนาอย่างเราๆทำแค่เพียงกำหนด Package ของ Dependency เท่านั้น ที่เหลือ Gradle จัดการให้เองหมด

แต่ทว่าก็ยังมีนักพัฒนาหลายๆคนที่มีปัญหาการใช้งาน Dependencies ที่มีเวอร์ชันเก่าๆอยู่ ทั้งนี้เพราะไม่รู้ว่าเวอร์ชันล่าสุดเป็นเวอร์ชันอะไร เพราะบางคนก็ทำตามบทความต่างๆที่ใช้ Dependency เวอร์ชันเก่าๆอยู่

ดังนั้นเจ้าของบล็อกจะมาแนะนำเทคนิคเล็กๆน้อยๆในการตรวจสอบว่า Dependency ที่ใช้งานอยู่นั้นมีเวอร์ชันล่าสุดเป็นเวอร์ชันอะไร เพื่อที่ว่าโปรเจคของผู้ที่หลงเข้ามาอ่านจะได้เรียกใช้งาน Dependency ที่ใหม่ล่าสุด

ลองกำหนดเลขเวอร์ชันเป็นเครื่องหมาย + ดูสิ เพราะเครื่องหมาย + จะหมายถึงการกำหนดให้ Gradle ค้นหาเวอร์ชันล่าสุดของ Dependency นั้นๆ

// build.gradle
dependencies {
    implementation fileTree(dir: 'libs', include: ['*.jar'])
    implementation 'androidx.appcompat:appcompat:1.1.0'
    implementation 'com.astuetz:pagerslidingtabstrip:+'
}

จากตัวอย่างจะกำหนดให้ใช้ Library ของ Pager Sliding Tab Strip ที่เป็นเวอร์ชันล่าสุด แล้ว Sync Gradle ให้เรียบร้อยก่อนซะ

เมื่อ Sync Gradle เรียบร้อยแล้ว (และไม่มี Error อะไร) จะมีแถบสีเหลืองๆแสดงขึ้นที่คำสั่งเรียกใช้งาน Dependency ของ Pager Sliding Tab Strip ให้คลิกเลือกที่บริเวณแถบสีเหลืองดังกล่าวแล้วกด Alt + Enter เพื่อเรียก Quick Fix แล้วเลือก Replace with specific version

จากนั้นเครื่องหมาย + ก็จะกลายเป็นตัวเลขเวอร์ชันให้ทันที โดยเป็นเลขเวอร์ชันล่าสุดของ Dependency นั้นๆ

เพียงเท่านี้ก็กลายเป็นเลขเวอร์ชันล่าสุดแล้ว!!!

สำหรับผู้ที่หลงเข้ามาอ่านคนใดสงสัยว่าทำไมต้องกำหนดเลขเวอร์ชันแทนที่จะใช้เครื่องหมาย + สามารถอ่านต่อได้ที่บทความ ทำไมต้องกำหนดเลขเวอร์ชันของ Dependencies ใน Android Studio

ทำไมต้องกำหนดเลขเวอร์ชันของ Dependencies ใน Android Studio
สำหรับผู้ที่หลงเข้ามาอ่านที่ใช้ Dependencies ส่วนใหญ่จะรู้กันอยู่แล้วว่าเวลาที่กำหนด Package ของ Library ถ้าใส่เครื่องหมาย + ในเลขเวอร์ชันก็จะเป็นการค้นหาเวอร์ชันล่าสุดมาให้ทันที

ง่ายใช่มั้ยล่ะ!!