มีเหตุที่ต้องเอาแอปตัวหนึ่งขึ้น F-Droid เลยเขียนบทความนี้เพื่อเล่าสู่กันอ่าน เผื่อว่ามีนักพัฒนาคนไหนต้องการส่งแอปขึ้น F-Droid เหมือนกัน

รายละเอียดต่าง ๆ ที่นักพัฒนาควรรู้เพื่อพัฒนาแอปให้รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์แอนดรอยด์จำพวก Foldable Device ได้อย่างเหมาะสม

เพราะระบบแอนดรอยด์และ Google Play ไม่อนุญาตให้เราทำการ Rollback จึงต้องมีขั้นตอนเล็กน้อยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน

เพราะการพยายามนำ Jetpack Compose มาใช้ในโปรเจคแบบสุ่มสี่สุ่มห้าก็คงจะไม่ดีเท่าไร

Gemini in Android Studio เป็นเครื่องมืออีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจในยุคเริ่มต้นของ Generative AI ที่พัฒนาโดย Google และใช้งานจาก Android Studio ได้เลย

Large Heap เป็นหนึ่งใน Application Flag ที่นักพัฒนาสามารถเปิดใช้งานเพื่อให้ระบบแอนดรอยด์เตรียมพื้นที่ว่างใน Heap สำหรับแอปเราให้มากกว่าเดิมจะได้รองรับการทำงานที่ต้องใช้พื้นที่ใน Heap ที่เพิ่มมากขึ้น

Background Service ในแอปบนแอนดรอยด์ของเรา อาจจะไม่ใช่ Background Service สำหรับระบบแอนดรอยด์ก็ได้นะ

การกำหนด API Key ในโปรเจคแอนดรอยด์มักจะพบได้ในเวลาที่ต้องการใช้งาน 3rd Party Service เพื่อให้แอปของนักพัฒนาสามารถเรียกใช้ความสามารถจาก SDK หรือ Service เหล่านั้นได้

นักพัฒนาจะต้องรับ Token ที่ได้จาก Google Play Services ที่ติดตั้งอยู่ภายในเครื่อง แล้วส่งให้ Web Service เก็บไว้ เพื่อใช้ตอนที่ต้องการส่งข้อมูลผ่าน Push Notification ด้วย Firebase Cloud Messaging

ถึงแม้ว่าแอปทั่วไปที่ใช้คำสั่งจาก Android Platform API จะไม่ได้รับผลกระทบจาก Android ABI แต่แอปที่ใช้ Android NDK หรือ Native Library จะมีการทำงานที่อาจจะขึ้นอยู่กับ ABI ด้วย

Android Studio นั้นมี UI Preview สำหรับ Jetpack Compose ที่มาพร้อมกับความสามารถต่าง ๆ ที่จะช่วยให้นักพัฒนาสร้าง UI ได้รวดเร็วกว่าบน Android Views

เพราะแอปในระดับบริษัทหรือองค์กรมักจะมาพร้อมกับ Deadline จึงควรวางแผนสำหรับการส่งแอปขึ้น Google Play เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาที่คาดไม่ถึง

With the unveiling of the Samsung Galaxy Z Flip5, complete with an enlarged Cover Screen, it's now possible to accommodate more widgets than previous model.

Non-Transitive R Classes เป็นหนึ่งในการทำงานของ Android Gradle Plugin ที่ถูกเพิ่มเข้ามาตั้งแต่เวอร์ชัน 4.1 เพื่อช่วยลด Build Time ให้เร็วขึ้น

รู้หรือไม่? ตั้งแต่ Gradle 5.0 และ Android Gradle Plugin 4.0 เป็นต้นมา นักพัฒนาสามารถเขียน Build Script ด้วย Kotlin DSL ได้แล้วนะ

เพราะสิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้และสำคัญมากสำหรับการทำงานของแอปบนแอนดรอยด์ทุกตัว ก็คือการจัดการกับข้อมูล (Data) ที่อยู่ภายในแอปนั่นเอง

Data Safety เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่นักพัฒนาจะต้องกรอกรายละเอียดของแอปที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลด้านความปลอดภัยที่มีผลต่อผู้ใช้

ถ้าโปรเจคของคุณใช้ GitHub และ Publish App ขึ้น Google Play แบบ Manual อยู่ เราขอแนะนำบทความนี้เลย

"อ้าวน้อง ทำไมเว็ปของเราที่เปิดในแอปของเราเอง ถึงทำไม่ได้ล่ะ พี่ลองเล่นบนแอป Chrome ก็ทำได้ปกตินะ" - ประโยคสมมติ

ในปัจจุบันมี Commercial SDK มากมายที่มาพร้อมกับ Solution ที่ครบจบในตัว เพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้บริการ Solution เหล่านี้ได้ โดยจะต้องติดตั้ง SDK ไว้ในแอปตามที่กำหนดด้วย

ระบบแอนดรอยด์ได้มีการออกแบบพื้นที่ภายในเครื่องเพื่อให้ผู้ใช้และแอปสามารถจัดเก็บข้อมูลได้ โดยมีการแบ่งพื้นที่เก็บข้อมูลภายในเครื่องออกเป็นหลายส่วน เพื่อให้นักพัฒนาสามารถเลือกเก็บข้อมูลไว้ในแต่ละที่ได้อย่างเหมาะสม

ในการส่งแอปขึ้น Google Play หรือ Android App Store บางแห่งจะต้องใช้เป็นไฟล์​ AAB หรือที่เรียกกันว่า Android App Bundle แทน ไม่สามารถใช้เป็นไฟล์​ APK ได้ และ Android App Store เหล่านี้ก็จะใช้ไฟล์​ AAB ที่ว่านี้เพื่อสร้างเป็น Signed APK เพื่อให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดอีกทีหนึ่ง

นับจาก Android Studio Dolphin เป็นต้นมา ทีมพัฒนาก็ได้ปรับปรุงหน้าต่าง Logcat ที่ว่าใหม่ทั้งหมดจนกลายออกมาเป็น Logcat v2 ที่มีรูปแบบการใช้งานแตกต่างไปจากเดิมพอสมควร

ถ้าเคยอัปโหลดแอปเป็นไฟล์ APK และต้องการอัปเดตแอปเวอร์ชันใหม่ ด้วยไฟล์ AAB แทน นักพัฒนาจะต้องทำขั้นตอนเพื่อเปิดใช้งาน Play App Signing ก่อนนะ

หนึ่งในปัญหาที่นักพัฒนาสามารถพบเจอได้เป็นบางครั้ง เจ้าของบล็อกจึงเขียนบทความนี้ไว้เพื่อช่วยให้นักพัฒนาสามารถวิเคราะห์ปัญหาและแก้ไขได้อย่างเหมาะสม